“งานก่อสร้าง” การจัดการสารเคมีอย่างปลอดภัยต้องอาศัยการวางแผนที่รัดกุม และการดำเนินการที่มีความระมัดระวังในทุกขั้นตอน เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ปฏิบัติงาน, ผู้ที่เกี่ยวข้อง, และสิ่งแวดล้อม โดยสารเคมีที่ใช้ในงานก่อสร้าง เช่น สี, ทินเนอร์, ปูนซีเมนต์, น้ำยากันซึม หรือสารเคลือบพื้นผิว อาจมีอันตรายต่อร่างกายและสุขภาพ รวมถึงความเสี่ยงจากการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ทั้งในดินและแหล่งน้ำ
การระบุและประเมินความเสี่ยงของสารเคมี
ภาพที่ 1 : การระบุและการประเมินความเสี่ยง
1. การติดฉลากและข้อมูลความปลอดภัย (SDS)
ทุกสารเคมีที่นำมาใช้ในงานก่อสร้างต้องมีการติดฉลากที่ถูกต้องตามมาตรฐานขององค์กร เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายจากสารเคมี (Health Hazard), วิธีการจัดการและการใช้งาน, การจัดเก็บ และข้อควรระวังในการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานสารเคมีเหล่านั้น ข้อมูลนี้จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถเข้าใจถึงวิธีการใช้และการจัดการได้อย่างเหมาะสม
2. การประเมินความเสี่ยงในพื้นที่ทำงาน
ก่อนการใช้งานสารเคมีในงานก่อสร้าง ควรประเมินสภาพแวดล้อมและพื้นที่ทำงานที่ใช้สารเคมี เช่น
- การระบายอากาศ: พื้นที่ที่มีการใช้งานสารเคมีต้องมีการระบายอากาศที่เพียงพอ เช่น การติดตั้งพัดลม, ระบบระบายอากาศ หรือระบบการกรองอากาศ เพื่อไม่ให้สารเคมีที่ระเหยในอากาศสะสมจนเกิดอันตราย
- การปนเปื้อนในดินและน้ำ: ควรประเมินความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจรั่วไหลหรือปนเปื้อนลงสู่ดินและแหล่งน้ำ โดยการจัดการพื้นที่อย่างรอบคอบ เช่น การป้องกันการรั่วไหล หรือการบำบัดสารเคมีที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การจัดเก็บและการขนย้ายสารเคมี
ภาพที่ 2 : การจัดเก็บและขนย้ายสารเคมีใน งานก่อสร้าง
1. การจัดเก็บสารเคมี
สารเคมีต้องเก็บในภาชนะที่มีความทนทานและปิดสนิท ป้องกันการรั่วไหล และให้พ้นจากแหล่งความร้อนหรือเปลวไฟ ภาชนะเก็บสารเคมีควรมีการติดฉลากแสดงข้อมูลที่ชัดเจน พร้อมระบุชนิดและความเสี่ยงของสารเคมี เช่น สี, น้ำมัน หรือสารอื่นๆ ที่เป็นอันตราย
การเก็บสารเคมีควรจัดแยกตามประเภทเพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิกิริยาระหว่างสารเคมีที่อาจทำให้เกิดอันตราย เช่น การเกิดการระเบิดหรือการปล่อยก๊าซพิษ ควรเก็บสารเคมีไว้อย่างเหมาะสมและหลีกเลี่ยงการเก็บสารเคมีที่เป็นอันตรายใกล้แหล่งน้ำหรือแหล่งอาหาร
2. การขนย้ายสารเคมี
การขนย้ายสารเคมีต้องใช้วิธีที่ปลอดภัยและระมัดระวัง เช่น การใช้รถเข็นสารเคมีที่มีฝาปิดแน่นหนา หรือการใช้ถังเก็บสารเคมีที่ทนทานต่อการกระแทกและการรั่วซึม การขนย้ายสารเคมีควรให้พนักงานสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) เช่น ถุงมือ, แว่นตานิรภัย, และเสื้อผ้าที่ทนทาน
การใช้งานสารเคมีอย่างปลอดภัย
ภาพที่ 3 : ใช้สารเคมีอย่างปลอดภัยใน งานก่อสร้าง
1. การอบรมผู้ปฏิบัติงาน
การอบรมผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมีเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้งานอย่างถูกต้อง เช่น
- วิธีการใช้สารเคมีที่ถูกต้อง
- วิธีการจัดการกับสารเคมีที่รั่วไหล
- การป้องกันอันตรายจากการสัมผัสสารเคมีที่เป็นอันตราย เช่น การใช้หน้ากาก, ถุงมือ หรืออุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ
- การฝึกซ้อมวิธีการตอบสนองกรณีฉุกเฉิน เช่น การใช้น้ำในการล้างสารเคมีที่สัมผัสกับผิวหนัง
2. การระบายอากาศในพื้นที่ทำงาน
ในพื้นที่ทำงานที่ใช้สารเคมี เช่น ห้องใต้ดินหรือพื้นที่ปิด ควรติดตั้งระบบระบายอากาศที่ดี เพื่อป้องกันการสะสมของไอสารเคมีที่อาจเป็นอันตราย การระบายอากาศที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงจากการหายใจเอาสารเคมีที่อาจมีอันตราย
การกำจัดของเสียและการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน
ภาพที่ 4 : กำจัดของเสียและการตอบสนองเหตุฉุกเฉิน
1. การกำจัดของเสียจากสารเคมี
การกำจัดของเสียจากสารเคมี เช่น เศษปูนที่ผสมสารเคมี, น้ำที่ล้างอุปกรณ์, หรือสีที่เหลือใช้งานต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่มีมาตรฐานตามกฎหมาย โดยมีการเก็บรวบรวมของเสียและบันทึกการกำจัดที่ถูกต้อง เช่น การกำจัดของเสียในที่ที่ได้รับการรับรอง หรือการส่งมอบให้กับผู้รับกำจัดของเสียที่มีใบอนุญาต
2. การตอบสนองกรณีรั่วไหล
การเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์รั่วไหลของสารเคมีเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การมีอุปกรณ์ดูดซับสารเคมี (เช่น ทรายดูดซับ) หรือแผ่นซับน้ำมัน และการฝึกอบรมพนักงานให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
การตรวจสอบและติดตาม
ภาพที่ 5 : ตรวจสอบและติดตามการใช้สารเคมี งานก่อสร้าง
1. การตรวจสอบพื้นที่ทำงาน
ควรมีการตรวจสอบพื้นที่ทำงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสารเคมีตกค้างหรือการปนเปื้อนในดินและน้ำ พื้นที่ที่มีสารเคมีรั่วไหลหรือหกต้องได้รับการทำความสะอาดอย่างถูกวิธี
2. การติดตามการใช้งานสารเคมี
ควรมีระบบบันทึกการใช้งานสารเคมี เพื่อให้สามารถติดตามและประเมินปริมาณสารเคมีที่ใช้ในแต่ละโครงการ การบันทึกข้อมูลยังช่วยในการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สารเคมีในงานก่อสร้าง
การจัดการสารเคมีในงานก่อสร้างที่ปลอดภัย ต้องอาศัยการวางแผนที่ดี การใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม และการอบรมพนักงานเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ทั้งยังต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปนเปื้อนในดินและน้ำ มาตรการเหล่านี้จะช่วยให้งานก่อสร้างปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ซึ่ง ระบบจัดการใบอนุญาตเข้าทำงาน (EWS) ของ Jorpor Plus เกี่ยวข้องกับการจัดการสารเคมีในงานก่อสร้างอย่างสำคัญ เนื่องจากการทำงานในพื้นที่เสี่ยงที่มีการใช้สารเคมี จำเป็นต้องมีการขอใบอนุญาตเพื่อยืนยันว่าการทำงานนั้นเป็นไปตามมาตรการความปลอดภัยที่กำหนด โดยระบบนี้ช่วยให้ผู้รับเหมาและเจ้าของงานสามารถขอใบอนุญาตทำงานในพื้นที่เสี่ยงที่มีสารเคมีได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
ในกระบวนการขอใบอนุญาต ผู้ปฏิบัติงานจะต้องระบุสารเคมีที่ใช้และมาตรการความปลอดภัยที่ต้องปฏิบัติตาม เช่น การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) หรือการจัดการพื้นที่ให้มีการระบายอากาศที่เพียงพอ ระบบนี้ยังช่วยในการประเมินความเสี่ยงจากการใช้งานสารเคมีในแต่ละขั้นตอนของงาน ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการทำงาน เพื่อให้มั่นใจว่างานจะดำเนินไปอย่างปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดอันตรายจากสารเคมี
ในขณะเดียวกัน ระบบตรวจสอบสภาพการณ์ (ESS) ของ Jorpor Plus ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถบันทึกความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ทำงาน เช่น การพบสารเคมีที่ถูกจัดเก็บไม่เหมาะสม ข้อมูลนี้จะถูกส่งไปยังเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย (จป.) เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาความเสี่ยงได้ทันที ทั้งสองระบบนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากการใช้สารเคมีในงานก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ Jorpor Plus ทั้งครอบคลุมและตอบโจทย์องค์กรต่างๆ มีทดลองให้ใช้ฟรีแล้ว กดคลิก ได้เลย
ให้คำปรึกษาฟรี!!!
คุณชัญญา เพชรมณีโชติ (แนน)
chunya@factorium.tech
061-546961
คุณนรีพร ใสสม (ส้มโอ)
Nareeporn@factorium.tech
065-9647198
Website: https://www.jorporplus.com/
Facebook: https://www.facebook.com/JorPorPlus
Line Official : https://lin.ee/dOulra8
Youtube: https://www.youtube.com/playlist?list=PL0b92T8M8rKX1jrpbfpBgozl6Dk3y-nu8