CPR หรือการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน เป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งที่ทุกคนควรเรียนรู้ เนื่องจากเป็นขั้นตอนที่สามารถช่วยยื้อชีวิตของผู้ที่หัวใจหยุดเต้นหรือหยุดหายใจได้ในเวลาฉุกเฉิน การทำCPR อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างถูกต้องเพื่อให้การช่วยเหลือมีความปลอดภัยและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของผู้ป่วย จุดมุ่งหมายและความสำคัญของการทำCPR อย่างถูกต้อง คือ
CPR คืออะไร?
ภาพที่ 1 : CPRคืออะไร
CPR ย่อมาจาก Cardiopulmonary Resuscitation หรือการช่วยฟื้นคืนชีพหัวใจและปอด เป็นการกระตุ้นการทำงานของหัวใจและการไหลเวียนโลหิต โดยการกดหน้าอกและช่วยหายใจให้ผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้นหรือหายใจไม่ออก
จุดมุ่งหมายของการทำ CPR
- รักษาการไหลเวียนของเลือดที่มีออกซิเจนไปยังสมองและอวัยวะสำคัญ
- เพิ่มโอกาสรอดชีวิตจนกว่าผู้เชี่ยวชาญหรืออุปกรณ์ช่วยเหลือขั้นสูงจะมาถึง
ประเภทของCPR
- สำหรับผู้ใหญ่ ใช้แรงกดและช่วยหายใจตามขั้นตอนมาตรฐาน
- สำหรับเด็กและทารก มีความละเอียดอ่อนและใช้แรงกดที่น้อยกว่า
- แบบ Hands-Only การกดหน้าอกอย่างเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมช่วยหายใจ
เมื่อไหร่ถึงต้องทำ CPR?
การทำCPR ควรเริ่มทันทีเมื่อพบว่าผู้ป่วย
- ไม่ตอบสนอง แม้จะมีการกระตุ้น
- ไม่มีการหายใจ หรือมีการหายใจแบบเฮือก (agonal breathing)
- ไม่มีชีพจร (สามารถคลำชีพจรที่คอหรือข้อมือเพื่อยืนยัน)
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ควรทำ CPR
ภาพที่ 2 : ตัวอย่างเหตุการณ์
- หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เช่น จากภาวะหัวใจขาดเลือด
- ผู้ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง เช่น การจมน้ำ หรืออุบัติเหตุรถยนต์
- ผู้ถูกไฟฟ้าช็อต
- ผู้สำลักอาหารหรือวัตถุที่อุดกั้นทางเดินหายใจ
ขั้นตอนการทำ CPR
1. การประเมินสถานการณ์
ภาพที่ 3 : การประเมินสถานการณ์
- ตรวจสอบความปลอดภัย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสภาพแวดล้อมไม่มีอันตราย เช่น รถที่สัญจร ไฟฟ้า หรือสารเคมี
- ประเมินผู้ป่วย ให้ปลุกเรียก ตบไหล่เพื่อดูการตอบสนอง ฟังเสียงการหายใจ หากผู้ป่วยรู้สึกตัว หายใจเองได้ ให้จัดท่านอนตะแคง ประเมินชีพจร แต่ถ้าไม่มีการตอบสนอง ให้ขอความช่วยเหลือทันที
2. โทรแจ้งศูนย์บริการฉุกเฉิน
ภาพที่ 4 : โทรแจ้งศุนย์บริการฉุกเฉิน
- โทร 1669 หรือเบอร์ฉุกเฉินในพื้นที่ พร้อมแจ้งสถานที่และสถานการณ์โดยละเอียด
- ขอความช่วยเหลือจากคนใกล้เคียง (ถ้ามี) เพื่อช่วยหาเครื่อง AED (เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ)
3. การเปิดทางเดินหายใจ (Airway)
ภาพที่ 5 : การเปิดทางเดินหายใจ
- จัดท่าผู้ป่วยให้นอนหงายบนพื้นเรียบ
- ใช้วิธี Head Tilt-Chin Lift ใช้มือหนึ่งกดหน้าผากเบาๆ และอีกมือยกคางขึ้นเพื่อเปิดทางเดินหายใจ
4. การกดหน้าอก (Chest Compression)
ภาพที่ 6 : การกดหน้าอก
- วางมือหนึ่งข้างบริเวณกลางหน้าอก (ระหว่างกระดูกซี่โครงด้านล่าง)
- ใช้มืออีกข้างทับและประสานนิ้ว
- ใช้แรงจากไหล่และแขนตรง กดหน้าอกลงไปลึกประมาณ 5-6 เซนติเมตร (สำหรับผู้ใหญ่)
- กดหน้าอกด้วยจังหวะเร็ว 100-120 ครั้งต่อนาที
- หลังจากกดแต่ละครั้ง ให้ปล่อยหน้าอกคืนสู่ตำแหน่งเดิม
5. การช่วยหายใจ (Rescue Breaths)
ภาพที่ 7 : การช่วยหายใจ
- ใช้มือปิดจมูกผู้ป่วย
- ประกบปากผู้ป่วยให้แน่น และเป่าอากาศเบาๆ เข้าไปจนเห็นหน้าอกยกตัว
- ทำการช่วยหายใจ 2 ครั้ง หลังจากการกดหน้าอกครบ 30 ครั้ง
- ตรวจสอบว่ามีอากาศออกจากปากหรือจมูกของผู้ป่วยหลังการเป่า
6. การใช้งานเครื่อง AED (ถ้ามี)
ภาพที่ 8 : การใช้เครื่อง AED
AED (Automated External Defibrillator) หรือ เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาชนิดหนึ่ง สามารถวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้โดยอัตโนมัติ และสามารถให้การรักษาด้วยการช็อกไฟฟ้ากระตุกหัวใจ โดยใช้กระแสไฟฟ้า
- เปิดเครื่อง AED และฟังคำแนะนำ
- ติดแผ่นอิเล็กโทรดที่หน้าอกผู้ป่วยตามที่ระบุในคู่มือ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของเครื่อง AED ในการช็อกไฟฟ้าหรือกดหน้าอกต่อ
กดหน้าอกต่อเนื่อง ทำCPR จนกว่าทีมกู้ชีพจะมาถึง ส่งต่อผู้ป่วยให้กับทีมกู้ชีพเพื่อนำส่งโรงพยาบาล เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยฉุกเฉินมีโอกาสรอดและปลอดภัย
อันตรายที่เกิดขึ้นหากทำไม่ถูกต้อง
ภาพที่ 9 : อันตรายที่เกิด หากทำไม่ถูกต้อง
- กระดูกซี่โครงหัก การวางมือผิดตำแหน่ง อาจส่งผลทำให้ซี่โครงหักได้ ซึ่งถ้าซี่โครงหักอาจจะไปทิ่มแทงโดนอวัยวะที่สำคัญ เช่น ปอด ตับ ม้าม แล้วทำให้เกิดการตกเลือด และอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
- บาดเจ็บต่ออวัยวะภายใน เช่น ปอด หัวใจ หรือกระบังลม การกดหน้าอกแรงและเร็วเกินไป อาจทำให้กระดูกหน้าอกขึ้นลงอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้กระดูกหัก หรือหัวใจช้ำได้
- อากาศเข้าไปในกระเพาะอาหาร (Gastric Inflation) การเปิดทางเดินหายใจไม่เต็มที่ หรือการเป่าลมมากเกินไป ทำให้ลมเข้าในกระเพาะอาหาร เกิดอาการท้องอืด อาเจียน ทำให้ลมไม่เข้าปอด หรือเข้าปอดไม่สะดวก และทำให้ปอดขยายตัวได้อย่างไม่เต็มที่
- การหยุดCPR กลางคัน หากผู้ช่วยชีวิตขาดความมั่นใจหรือเหนื่อยเกินไป โอกาสรอดของผู้ป่วยจะลดลง
ข้อควรระวัง
- หากไม่มั่นใจในทักษะการช่วยหายใจ ให้ทำCPR แบบ Hands-Only (กดหน้าอกอย่างเดียว)
- หลีกเลี่ยงการกดหน้าอกในตำแหน่งกระดูกลิ้นปี่ (xiphoid process) เพราะอาจทำให้เกิดบาดเจ็บรุนแรง
การทำCPR อย่างถูกวิธีเป็นทักษะที่สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉินได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนในร่างกายจนกว่าทีมแพทย์ หรือหน่วยกู้ชีพจะมาถึง อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนอย่างถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย เช่น กระดูกซี่โครงหักหรือการบาดเจ็บต่ออวัยวะภายใน หากไม่ได้รับการฝึกที่เหมาะสม ควรเลือกทำCPR แบบกดหน้าอกอย่างเดียว (Hands-Only CPR) และรีบโทรแจ้งหน่วยบริการฉุกเฉิน (1669 ในประเทศไทย) เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
การทำCPR อย่างถูกวิธีควรที่จะได้รับการอบรมจากองค์กรที่เชี่ยวชาญ เช่น สภากาชาดไทย สมาคมหัวใจแห่งประเทศไทย หรือหน่วยฝึกอบรมความปลอดภัยต่างๆ โดยการฝึกปฏิบัติจริงกับผู้เชี่ยวชาญจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความแม่นยำในการช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยในสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
คุณชัญญา เพชรมณีโชติ (แนน)
chunya@factorium.tech
061-546961
คุณนรีพร ใสสม (ส้มโอ)
Nareeporn@factorium.tech
065-9647198
Website: https://www.jorporplus.com/
Facebook: https://www.facebook.com/JorPorPlus
Line Official : https://lin.ee/dOulra8
Youtube: https://www.youtube.com/playlist?list=PL0b92T8M8rKX1jrpbfpBgozl6Dk3y-nu8